ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนยืดเยื้อ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมยังต้องหายืดหยุ่นทางการเงินเพื่อรับมือรอบขายที่ยาวขึ้น ต้นทุนที่ผันผวน และดีมานด์ที่ไม่แน่นอน แม้คณะกรรมการนโยบายการเงินจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ 1.50% เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และมีมติ “คงดอกเบี้ย” ที่ระดับดังกล่าวในการประชุม 8 ตุลาคม 2568 ทิศทางต้นทุนการเงินโดยรวมจึงผ่อนคลายกว่าเดิม ทว่า “มาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อ” ของระบบธนาคารยังคงรอบคอบ เนื่องจากคุณภาพหนี้บางส่วน (โดยเฉพาะฝั่งธุรกิจขนาดเล็ก) ยังถูกจับตาอย่างใกล้ชิด

พร้อมกันนี้ รายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า หนี้เสีย (NPL) ระบบธนาคารไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 2.90% และ ไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 2.91% โดยแรงกดดันมาจากสินเชื่อธุรกิจเป็นหลัก ขณะที่การปล่อยกู้ต่อกลุ่มเสี่ยงสูง—โดยเฉพาะ SME—ยังใช้ความระมัดระวังสูงกว่าปกติ นี่คือบริบทสำคัญที่ทำให้ “สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน” กลายเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติที่สำคัญมากขึ้นในปีนี้ เพราะช่วยเชื่อม “ดีลจริง–กระแสเงินสดจริง” เข้ากับ สินเชื่อsme ได้ โดยไม่ต้องผูกทรัพย์ส่วนตัวของเจ้าของกิจการไว้กับความเสี่ยงของธุรกิจในยามไม่แน่นอน

ด้านกำกับดูแล ธปท.ประกาศ “Responsible Lending” เวอร์ชันปรับปรุง (ประกาศ 31 ม.ค. 2568) ซึ่งมีผลครอบคลุมหมวดสำคัญตั้งแต่ 1 ก.ค. 2568 เน้นให้ผู้ให้กู้ตรวจสอบความสามารถชำระหนี้อย่างเป็นระบบ และเสนอผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความเสี่ยงและศักยภาพของผู้กู้มากขึ้น กรอบใหม่นี้ไม่ได้ “ปิดประตู” แต่กระตุ้นให้ทั้งสองฝั่ง—ผู้กู้และผู้ให้กู้—ใช้ ข้อมูลจริง เป็นแกนตัดสินใจ ส่งผลให้ สินเชื่อ sme ไม่มีหลักทรัพย์ 2568 ที่ตั้งอยู่บนเอกสารการค้าและรอยเท้าทางการเงินที่ตรวจสอบได้ “เดินง่ายขึ้น” เมื่อเทียบกับการขอวงเงินแบบกว้าง ๆ ที่ขาดหลักฐานรองรับชัดเจน

ในเชิงนโยบายสาธารณะ ภาครัฐยังขยาย “คันโยก” ช่วยเข้าถึงเครดิต โดยเฉพาะ “โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11” ผ่านบสย. (TCG) วงเงิน 50,000 ล้านบาท ที่ประกาศเดินหน้าตั้งแต่ปี 2567 ต่อเนื่องมาถึงปี 2568 เพื่อให้ธนาคารกล้าอนุมัติวงเงินแก่ลูกหนี้ SME มากขึ้นบนฐานข้อมูลจริง ไม่ใช่เฉพาะบนหลักทรัพย์ค้ำประกัน และหลายข่าวสารระบุทิศทางการเร่ง Supply Chain/Trade Finance เพื่อให้เงินทุนไหลลงสู่กิจการรายย่อยในเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ


ทำไม “สินเชื่อ SME ไม่มีหลักทรัพย์” จึงมีความสำคัญเชิงระบบ

1) ลดการผูกทรัพย์ส่วนตัวกับความเสี่ยงธุรกิจ

กลุ่มผู้ประกอบการจำนวนมากไม่มีทรัพย์สินที่พร้อมใช้ค้ำ หรือไม่ต้องการนำบ้าน/ที่ดินของครอบครัวมาเสี่ยง การมีผลิตภัณฑ์ สินเชื่อ SME วงเงินสูง แบบ “ประเมินจากข้อมูลจริงและศักยภาพธุรกิจ” จึงช่วยกระจายความเสี่ยงอย่างมีเหตุผล ทำให้การลงทุน–ขยายกำลังการผลิต–เร่งระบบการขายเกิดขึ้นได้โดยไม่สร้าง “หนี้ครัวเรือนผูกทรัพย์” เกินจำเป็น ทั้งยังสอดคล้องกับมาตรการรัฐด้านลดปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพของภาคครัวเรือนในระยะยาว (ซึ่งเป็นโจทย์เศรษฐกิจไทยระดับโครงสร้าง)

2) เชื่อม “รอบเงินจริง” กับ “โครงสินเชื่อ”

หัวใจของ สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในปี 2568 คือการผูกวงเงินและวันชำระหนี้กับ “รอบเงินจริง”—เช่น รายจ่ายถี่ใช้วงเงินหมุนเวียน (OD/วงเงินเบิกเกินบัญชี) รายจ่ายยาวใช้เงินก้อน/เช่าซื้อ รายได้ที่รอเก็บยาวใช้แฟคตอริ่งหรือซัพพลายเชนไฟแนนซ์ เมื่อโครงวงเงินสอดคล้องกับดีลและกระแสเงินสดจริง ความเสี่ยงด้านเครดิตย่อมลดลงโดยธรรมชาติและเข้ากรอบ Responsible Lending ได้ง่ายกว่า

3) หนุนการเติบโตของ “ผู้ประกอบการหน้าใหม่”

สำหรับกิจการที่ยังไม่มีประวัติยาว การเข้าถึง สินเชื่อsme แบบอิงข้อมูลยอดขายจริง 3–6 เดือน เอกสารการค้าครบถ้วน และการตั้ง “วันคืนเงิน” หลังวันรับเงิน 3–7 วัน จะช่วยให้คำขอ “อ่านง่าย” ตรงกับสิ่งที่ผู้พิจารณามองหา ทั้งนี้ เมื่อผนวกกับค้ำประกันของรัฐ/ธนาคารพัฒนา และวงเงินบนห่วงโซ่อุปทาน โอกาสได้รับ สินเชื่อ SME วงเงินสูง เท่าที่จำเป็นก็เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ส่วนบุคคลเป็นตัวตั้ง

4) กระตุ้นการยกระดับการทำบัญชี–เอกสารมาตรฐาน

กติกากำกับใหม่บังคับให้ “หลักฐาน” ต้องสอดคล้อง ตั้งแต่ใบสั่งซื้อ–สัญญา–ใบส่งมอบ–ใบแจ้งหนี้ ไปจนถึงรายการเดินบัญชี ผลทางอ้อมคือผู้ประกอบการหันมาใช้ระบบบัญชีธุรกิจและระบบเอกสารมากขึ้น ซึ่งเป็นรากฐานให้เข้าถึง สินเชื่อ sme ไม่มีหลักทรัพย์ 2568 ได้ในต้นทุนความเสี่ยงที่เหมาะสม และช่วยให้การปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารมีคุณภาพยิ่งขึ้น (คุณภาพพอร์ตดีขึ้น = ต้นทุนทางการเงินระยะยาวลดลง)


มุมมองเชิงวิเคราะห์: เมื่อ “ดอกเบี้ยต่ำลง” แต่ “มาตรฐานสูงขึ้น”

การลดดอกเบี้ยนโยบายทำให้ต้นทุนทางการเงินของระบบปรับตัวลง แต่ในขณะเดียวกัน ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อ ยังถูกบีบจากสองฝั่ง: (1) อุปสงค์กู้ที่อ่อนลง จากธุรกิจใหญ่บางกลุ่ม และ (2) การคัดกรองฝั่งเสี่ยงสูง เช่น ผู้มีรายได้น้อยและ SME ที่เพิ่งฟื้นตัว ผลลัพธ์คือ “เงินไม่ได้หายไปจากระบบ” หากแต่ไหลไปสู่กิจการ/ดีลที่แสดง ข้อมูลจริง + วินัยการเงิน ได้ชัดเจนกว่า ดังที่ ธปท.ระบุถึงภาวะสินเชื่อที่ยังหดตัวบางส่วนและการระมัดระวังต่อกลุ่มเสี่ยงสูงในปีนี้

แปลให้เป็นภาษาปฏิบัติ: ผู้ประกอบการที่ต้องการ สินเชื่อ sme ไม่มีหลักทรัพย์ 2568 ควร “เล่าเรื่องด้วยข้อมูล” ให้ครบตั้งแต่หน้าแรกของแฟ้มคำขอ โดยเฉพาะ 3 เส้นเรื่อง—จะใช้เงินทำอะไร, เงินจะเข้าเมื่อไร, จะคืนอย่างไร—แล้วให้เอกสารทั้งชุด “พูดเรื่องเดียวกัน” กับรายการเดินบัญชี เมื่อประกอบกับการเลือกผลิตภัณฑ์ให้ “ถูกหน้าที่ของเงิน” และ (ถ้าเหมาะสม) ต่อเข้าคันโยก “ค้ำประกัน/ซัพพลายเชนไฟแนนซ์” โอกาสเข้าถึงวงเงินที่ต้องการจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ธุรกิจจะยังไม่มีทรัพย์ค้ำก็ตาม


ความสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานกว้าง: ทำไมภาครัฐจึง “ค้ำ” ให้เดินหน้า